“เป็นโสดทำไม อยู่ไปให้เศร้าเหงาทรวง ไม่คิดจะหาคู่ควงเดี๋ยวจะร่วงพ้นวัยไปเปล่า เกิดมาเดียวดาย จะตายเพราะความเหงาเศร้า แต่งงานกันเสียเถิดเรา อยู่ว่างเปล่าไม่ดีอะไร…”

บทเพลงคุ้นหูคนไทยที่แฝงความเชื่อในระดับสากลที่ว่า ‘ชีวิตที่มีคู่ดีกว่าอยู่โสด’ มายาคติที่มีอยู่ทั่วในนิยาย ภาพยนตร์ และเพลงรัก จนทำให้หลายคนเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีวันพบความสุขจนกว่าจะเจออีกคนมาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิต และนั่นทำให้ “การอยู่โสด” แทบไม่ได้เป็นทางเลือกที่ถูกยอมรับ

บทความ “I’m in My 40s, Child-Free and Happy. Why Won’t Anyone Believe Me?” โดยกินนิส แมกนิโคว์ (Glynnis MacNicol) จาก The New York Times คือหนึ่งตัวอย่างที่ตั้งคำถามถึงประเด็นการอยู่โสดแถมยังเป็นสุข แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมได้เป็นอย่างดี และไม่ใช่แค่กินนิสเท่านั้นที่เลือกใช้ชีวิตโสด เพราะเบลลา เดอเปาโล (Bella DePaulo) นักจิตวิทยาสังคม ผู้ครองโสดมายาวนานกว่า 60 ปีก็เลือกที่จะใช้ชีวิตบนเส้นทางสายนี้เช่นกัน และผลการศึกษาของเธอก็ท้าทายความเชื่อของสังคมที่เคลือบแคลงสงสัยในชีวิตคนโสดได้ดีทีเดียว

©Unsplash/Samantha Gades

Find ‘No One’ and You Can Live Happily Ever After
หากตัดเรื่องรักละมุนชวนจิกหมอนทิ้งไปชั่วขณะ และหันมามองความจริงจากผลการศึกษาเรื่องความสุขระหว่างคนโสดและคนมีคู่ที่เบลลาเล่าไว้ในเวที Ted Talks จะพบว่า คนโสดที่คิดว่าชีวิตแต่งงานจะเพิ่มความสุขให้พวกเขาได้แบบในนิยายชวนฝัน อาจต้องคิดใหม่ เมื่อผลการศึกษาจริง ๆ เผยให้เห็นว่า แม้คนมีคู่และกำลังแต่งงานจะมีความสุขเพิ่มขึ้น (เพียงเล็กน้อยเท่านั้น) แต่หลังจากที่แต่งงานกันไปแล้ว ระดับความสุขของพวกเขาก็จะกลับมาสู่ระดับปกติเหมือนตอนที่โสด แต่หากคนที่แต่งงานแล้วหย่าร้างกัน ระดับความสุขของคนกลุ่มนี้จะลดน้อยลงและอาจไม่เพิ่มขึ้นเท่าตอนอยู่เป็นโสด และนี่อาจเป็นตอนจบที่นิยายรักไม่เลือกเล่าและหลายคนอาจมองข้าม

คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วคนมีคู่แต่ไม่เลือกแต่งงาน จะมีชีวิตดีกว่าคนโสดที่ไม่มีใครเลยหรือเปล่า การจะตอบข้อสงสัยนี้ เบลลาชวนให้ดูสมมติฐานของลำดับขั้นชีวิตที่ดีซึ่งคนส่วนมากมักมองไว้ว่า คนแต่งงานแล้วควรมีชีวิตที่ดีกว่าคนมีคู่ที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน เพราะคนกลุ่มแรกได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะดูแลกันมากที่สุด ส่วนคนโสดและอยู่ในระหว่างการเดตก็น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าคนโสดที่ไม่มีใครเลย แต่ผลการสำรวจจริงๆ กลับพบว่า คู่ชายหญิงที่แต่งงานแล้วไม่ได้รู้สึกเปลี่ยวเหงา เครียด หรือซึมเศร้าน้อยไปกว่าคนกลุ่มอื่นๆ เลย ดังนั้นแล้ว ความเชื่อที่ว่าการแต่งงานจะช่วยให้คนเราไม่ต้องรู้สึกเหงาอีกต่อไป อาจจะไม่ใช่ความจริงทีเดียวนัก

แม้หลายคนอาจเชื่อว่าอย่างน้อยการแต่งงานก็เป็นเครื่องรับประกันว่าชีวิตนี้จะมีอีกคนที่คอยอยู่ข้างกัน ดีกว่าการอยู่เป็นโสดที่ไม่มีใคร แต่ผลการศึกษา “Does singlehood isolate or integrate? Examining the link between marital status and ties to kin, friends, and neighbors” กลับพบว่า อันที่จริงแล้วคนโสดต่างหากที่มีเพื่อนมากกว่า พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ พี่น้อง และเครือญาติมากกว่า และยังทำประโยชน์ให้สังคมโดยการร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่รวมถึงงานอาสามากกว่าคนที่แต่งงานแล้ว เหล่านี้ยังไม่นับความจริงอีกข้อที่ว่า คนโสดมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเองและต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่องมากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่แต่งงานแล้วอีกด้วย

ผลการศึกษาเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนประเด็นคำถามที่มีต่อคนโสดจำนวนมากในปัจจุบันได้ว่า มันอาจจะไม่สำคัญขนาดนั้น ว่าชีวิตนี้คุณจะมีใครหรือเปล่า แต่ประเด็นก็คือคุณใช้ชีวิตโสดของคุณอย่างไรมากกว่า

This is the Age of Living Single
Pew Research Center คาดการณ์ปรากฏการณ์นิยมโสดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ว่า เมื่อหนุ่มสาวยุคปัจจุบันมีอายุถึงประมาณ 50 ปี จะมีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 คนที่จะไม่แต่งงาน

ส่วนผลสำรวจจาก Mintel ก็เผยข้อมูลที่น่าสนใจไว้ว่า 61% ของหญิงโสดมีความสุขกับชีวิตในสถานะนี้มากกว่าชายโสด (49%) โดยเทรนด์การอยู่โสดนี้มีอิทธิพลเป็นพิเศษกับผู้หญิงที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งพวกเธอรายงานว่ารู้สึกมีความสุขกับชีวิต (32%) มากกว่าชายโสดที่มีอายุเท่ากัน (19%)

เอมิลี กรันดี (Emily Grundy) ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเอสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ ให้ความเห็นกับผลสำรวจนี้ไว้ว่า เพราะผู้หญิงมักจะทุ่มเทในเรื่องความสัมพันธ์มากกว่าผู้ชาย การทุ่มเทที่ว่านี้คือการทุ่มเททั้งพลังใจในการพยายามแก้ไขปัญหาหรือข้อขัดแย้งต่างๆ ของกันและกัน รวมไปถึงการทุ่มเทพลังกายในการทำงานบ้านเมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกด้วย แต่ข่าวดีก็คือ ผู้หญิงโสดมีแนวโน้มจะทำกิจกรรมทางสังคมและมีเพื่อนมากขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับชายโสดและผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงจึงนิยมการเป็นโสดและรู้สึกพอใจกับสถานะนี้ 

หากมองในแง่ของเศรษฐกิจ Morgan Stanley Research รายงานว่า ผู้หญิงโสดนับเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่ใช้เงินช้อปปิ้งมากกว่ากลุ่มไหนๆ ในสังคม และไม่ใช่แค่สินค้าประเภทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเองเท่านั้นที่ได้รับความนิยมจากหญิงโสด แต่อสังหาริมทรัพย์อย่างบ้าน ก็เป็นสินค้าชิ้นใหญ่ที่หญิงโสดเลือกลงทุน โดยผลสำรวจออนไลน์จาก LendingTree พบว่าในเขต 50 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ผู้หญิงโสดเป็นเจ้าของบ้านมากกว่าผู้ชายโสดเกือบ 2 เท่า นี่อาจบอกได้หรือไม่ว่าคนโสดก็กำลังเดินหน้าและจริงจังกับชีวิตไม่แพ้คู่รักที่วางแผนอนาคตร่วมกันเลย

©Unsplash/Everton Vila

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีการเรียนรู้
มาถึงตรงนี้อาจไม่แฟร์นักที่จะเลือกเสนอแต่ด้านดีของชีวิตโสด เพราะสำหรับคนมีความรัก ข่าวดีก็คือมีงานวิจัยทางจิตวิทยาหลายชิ้นยืนยันว่า ชีวิตแต่งงานที่ดีเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เชื่อมโยงความสุขอย่างมั่นคงและเหนียวแน่นที่สุดให้คนเรา แม้การแต่งงานจะไม่ได้รับประกันว่าเราจะมีความสุข แต่ชีวิตแต่งงานที่ดีจะนำความสุขมาให้ โดย ดร.พอลเล็ต เชอร์แมน (Dr. Paulette Sherman) นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ทางครอบครัวให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อคู่รักต้องรับมือกับความต้องการของอีกคน สิ่งนี้จะทำให้ทั้งคู่เห็นส่วนที่ดีและแย่ที่สุดของตัวเอง คู่รักจะเกิดการปรับตัว เรียนรู้ พัฒนา และนั่นจะทำให้พวกเขาเป็นคนที่ดีขึ้น

และสำหรับคนโสด แน่นอนว่าคุณก็สามารถพบความสุขได้ด้วยตัวคุณเอง เพราะความโสดเป็นโอกาสที่คุณจะได้ใช้ชีวิตในแบบของคุณเองโดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหากยังไม่มีใคร เหมือนที่มายา แองเจโล (Maya Angelou) นักประพันธ์และนักสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกันได้บอกเอาไว้ว่า “แค่ตัวคุณก็พอ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับใคร” (You alone are enough. You have nothing to prove to anybody.)

ที่มาภาพ : Unsplash/Church of the King

ที่มา :
บทความ “More people than ever before are single – and that’s a good thing” จาก theconversation.com
บทความ “What Makes a Truly Happy Marriage, According to the Experts” จาก fatherly.com
บทความ “Why Single Women Are (Way) More Likely to Own a Home Than Single Men” จาก fee.org
บทความ “Women prefer being single - because relationships are hard work, research suggests” จาก telegraph.co.uk
วิดีโอ “What no one ever told you about people who are single” โดย Bella DePaulo จาก TEDxUHasselt

เรื่อง : วรรณเพ็ญ บุญเพ็ญ