RELATED ARTICLES
เขียนเล่น ๆ เป็นงานอดิเรก ตวัดปากกาทำเงินด้วย Calligraphy
17 min. Read | 30 สิงหาคม 2565 | 1 k
แม้โลกยุคปัจจุบันจะมีการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เราบันทึกอะไรต่อมิอะไรลงไปได้อย่างสะดวกไม่ต่างจากการเขียนลงบนแผ่นกระดาษ จนทำให้การ “เขียนด้วยลายมือ” อาจเป็นสิ่งที่เหินห่างไปจากชีวิตของใครหลายคน กระทั่งอาจไม่ทันรู้ตัวว่า ได้จับปากกาเขียนหนังสือครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะละทิ้งการเขียนไปเสียทั้งหมด เพราะยังคงมีผู้ที่หลงใหลในการขีดเขียนตัวอักษรให้งดงามไม่ต่างไปจากงานศิลป์ที่เรียกว่า “อักษรวิจิตร” หรือ “Calligraphy”
การได้ใช้เวลาไปกับการออกแบบตัวอักษรให้สวยงามนับเป็นอีกหนึ่งงานอดิเรกที่ให้ประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายจิตใจ สลายความรู้สึกว้าวุ่นด้วยการจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า ขณะเดียวกันก็ช่วยพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์จากการออกแบบรูปลักษณ์ใหม่ ๆ ให้กับตัวอักษร และยังกลายเป็นงานที่สร้างรายได้อีกด้วย
Mayank Baranwal / Unsplash
ความงามและการเขียนสู่อักษรวิจิตร
เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการสร้างระบบสัญลักษณ์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและจดบันทึก ก็กล่าวได้ว่าเมื่อนั้นเองที่การออกแบบตัวอักษรให้มีความสวยงามได้ถือกำเนิดขึ้นและมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง เพราะมนุษย์ล้วนพยายามออกแบบตัวอักษรที่สวยงามที่สุด และแสวงหารูปแบบการเขียนที่งดงามยิ่งขึ้นตลอดเวลา
คำว่าอักษรวิจิตรในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Calligraphy” ซึ่งมีรากมาจากภาษากรีกที่ประกอบด้วยสองคำคือ κάλλος (ความงาม) และ γράφω (การเขียน) นับเป็นร่องรอยสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์รู้จักการออกแบบอักษรวิจิตรมาเนิ่นนานและปรากฏให้เห็นในแทบทุกวัฒนธรรมของมนุษย์ที่มีการพัฒนาตัวอักษร
Marco Zuppone / Unsplash
ตัวอย่างเช่นอารยธรรมจีนที่มีพัฒนาการของอักษรวิจิตรมาอย่างยาวนาน แทบจะพร้อมกับการที่ชาวจีนเริ่มใช้พู่กันเป็นวัสดุในการเขียนอักษรจีน ซึ่งย้อนกลับไปได้ราว 200 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยลักษณะเฉพาะของอักษรจีนที่พัฒนาขึ้นมาจากอักษรภาพ ทำให้การเขียนภาษาจีนคล้ายกับการวาดภาพที่เอื้อต่อการออกแบบให้สวยงามได้ การฝึกคัดตัวอักษรจีนจึงกลายมาเป็นกิจกรรมยามว่างอย่างหนึ่งในกลุ่มชนชั้นสูงที่มีการศึกษามาแต่อดีต
ขณะที่ในโลกตะวันตก การออกแบบตัวอักษรก็มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคกลางของยุโรปที่การออกแบบและการเขียนอักษรวิจิตรมีความเฟื่องฟูเป็นอย่างมากจากการคัดลอกพระคัมภีร์ในคริสต์ศาสนา โดยกลุ่มนักบวชจะค่อย ๆ คัดลอกข้อความจากพระคัมภีร์อย่างพิถีพิถัน ด้วยตัวอักษรและภาพประกอบที่งดงาม ถือเป็นกิจกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ศรัทธา
Aaron Burden / Unsplash
กระทั่งความสำเร็จของการคิดค้นแท่นพิมพ์ในช่วงศตวรรษที่ 15 ทำให้สิ่งพิมพ์สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมากและง่ายดายยิ่งขึ้น การคัดลอกด้วยลายมือจึงหมดความจำเป็นลงไป แต่การเขียนก็ยังมีความสำคัญและมีการพัฒนารูปแบบอักษรสำหรับการเขียนที่สวยงามขึ้นมากมาย อย่างรูปแบบการเขียนตัวเขียนในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Copperplate Script ก็มีการฝึกหัดและนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในชีวิตประจำวันและการเขียนในฐานะงานอดิเรก
Will H McMahan / Unsplash
เอ็ดเวิร์ด จอห์นสตัน (Edward Johnston) ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งอักษรวิจิตรสมัยใหม่ จอห์นสตันใช้เวลาในการศึกษาต้นฉบับตัวเขียนจากยุคกลางอย่างยาวนาน กระทั่งมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับศิลปะของการออกแบบตัวอักษร ผลงานการออกแบบของจอห์นสตันอย่างตราสัญลักษณ์รถไฟใต้ดินลอนดอน (London Underground) ยังคงปรากฏมาจนถึงปัจจุบัน
ASchuehlein / Pixabay
เขียนเล่นแต่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
การออกแบบอักษรวิจิตรเป็นทักษะที่หลอมรวมศาสตร์ถึงสามประการเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ ความรู้ด้านวิจิตรศิลป์หรือการสร้างผลงานศิลปะที่คำนึงถึงสุนทรียะหรือความงดงามมากกว่าประโยชน์ใช้สอย ขณะเดียวกันก็ต้องใช้ทักษะในการสร้างงานฝีมืออย่างมากในการขีดเขียน เพื่อกำหนดรูปแบบอักษรให้งดงามตามต้องการ และสิ่งสุดท้ายคือความรู้ในเชิงวรรณศิลป์ เพราะความงามของตัวอักษรที่มาพร้อมกับข้อความที่เปี่ยมสุนทรียภาพทางภาษา ย่อมนับเป็นผลงานอักษรวิจิตรที่สมบูรณ์แบบ
และแน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของการออกแบบอักษรวิจิตรอยู่ที่การเขียน ด้วยอุปกรณ์ง่าย ๆ อย่างดินสอหรือปากกาและกระดาษสักแผ่นก็สามารถเริ่มเขียนได้แล้ว แต่การออกแบบอักษรวิจิตรในระดับที่สูงขึ้นสำหรับการเขียนบางประเภทอาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ เช่น ปากกาหมึกซึมหรือพู่กัน และยังอาจต้องหาแหล่งเรียนรู้หรือขอรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเขียนในด้านต่าง ๆ เช่น การหมุนข้อมือหรือองศาในการตวัดปากกา
Garetsvisual / Freepik
แต่ในปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับการเขียนและการออกแบบอักษรวิจิตรนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าถึงและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดเวลา นอกจากนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ายังทำให้การออกแบบอักษรวิจิตรไม่จำกัดอยู่บนแผ่นกระดาษอีกต่อไป แต่มีแอปพลิเคชันมากมายที่ออกแบบมาสำหรับผู้รักอักษรวิจิตรโดยเฉพาะ อย่างเช่น Calligraphy, Calligraphy Handbook และ Tayasui Calligraphy รวมถึงแอปพลิเคชันออกแบบงานศิลปะทั้งหลายที่สามารถใช้เป็นกระดาษแผ่นใหญ่ให้เราใส่ไอเดียการออกแบบอักษรวิจิตรได้แบบไม่จำกัด
การออกแบบอักษรวิจิตรเป็นงานอดิเรกยังเหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย แม้ว่าจะคล้ายกับการคัดลายมือที่เป็นความพยายามฝึกฝนในการเขียนตัวอักษรให้ออกมาได้สวยงาม แต่อักษรวิจิตรยังเปิดโอกาสสำหรับการออกแบบตัวอักษรในรูปแบบใหม่ ๆ ที่แปลกตาโดยไม่จำเป็นต้องตรงตามแบบฉบับ ในแง่นี้การออกแบบอักษรวิจิตรจึงไม่ต่างจากการสร้างงานศิลปะที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และพลังแห่งการเรียนรู้สิ่งใหม่
Samir Bouaked / Unsplash
ต่อยอดอักษรวิจิตรเป็นธุรกิจทำเงิน
“ไม่เคยมีความคิดหวังเลยว่าสิ่งนี้จะได้กลับมาใช้งานจริงในชีวิตของผม แต่ใน 10 ปีต่อมา ทั้งหมดนี้ก็กลับมาหาผมอีกครั้ง เมื่อเราออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชเครื่องแรก และเราได้ออกแบบให้ทั้งหมดนี้อยู่ในแมค ซึ่งกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีตัวอักษรที่สวยงาม ถ้าผมไม่เคยลงเรียนวิชานี้ที่วิทยาลัย แมคก็คงจะไม่มีแบบอักษรที่หลากหลายหรือมีระยะห่างที่ได้ตามสัดส่วน”
นั่นคือคำกล่าวของสตีฟ จอบส์ ผู้ให้กำเนิดแบรนด์ดังอย่าง Apple ที่บอกเล่าถึงประสบการณ์ในการเรียนรู้ทักษะเกี่ยวกับการออกแบบตัวอักษรที่วิทยาลัยรีด เมืองพอร์ตแลนด์ สหรัฐอเมริกา แม้ว่าจอบส์จะเลือกลาออกจากการเรียนที่วิทยาลัยดังกล่าว แต่ยังคงเข้าเรียนเฉพาะบางวิชาที่ตนเองสนใจและหนึ่งในนั้นก็คือ Calligraphy ซึ่งจอบส์ระบุว่าเป็นศาสตร์ที่น่าทึ่ง เพราะการออกแบบอักษรมีทั้งความสวยงาม มีประวัติศาสตร์ และมีความเป็นศิลปะในแบบที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจสัมผัสได้
Julian Hochgesang / Unsplash
ประสบการณ์ของสตีฟ จอบส์แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการเรียนรู้เกี่ยวกับอักษรวิจิตร แม้ว่าการออกแบบตัวอักษรเป็นงานอดิเรกอาจมีเป้าหมายเพียงเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในยามว่าง โดยไม่ได้มีเป้าหมายในเชิงธุรกิจ แต่หลายครั้งผลงานอักษรวิจิตรที่ได้รับการออกแบบขึ้น ก็กลับกลายเป็นผลงานที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ออกแบบ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าอักษรวิจิตรแฝงอยู่กับสิ่งรอบตัวเราเกือบจะตลอดเวลา ตั้งแต่ฉลากผลิตภัณฑ์สินค้าไปจนถึงป้ายโฆษณา
การออกแบบตัวอักษรจึงสามารถนำมาต่อยอดได้ในหลากหลายธุรกิจ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานอย่างการเขียนเอกสารหรือป้ายข้อความ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นปลอกหมอน เสื้อผ้า หรือแก้วกาแฟ กระทั่งศิลปะบนเรือนร่างอย่างรอยสักก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความงามของตัวอักษร นอกจากนี้ ตัวอักษรที่ได้รับการออกแบบมาอย่างงดงามก็ยังสามารถมีมูลค่าได้ในตัวเอง อย่างเช่นในรูปแบบของฟอนต์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ บนอุปกรณ์เทคโนโลยี
นอกจากนี้ การใช้เวลาว่างฝึกฝนการขีดเขียนออกแบบอักษรวิจิตร กระทั่งสามารถพัฒนาเป็นรูปแบบอักษรที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองได้ ยังเป็นทักษะพิเศษหรือความเชี่ยวชาญที่สามารถแนะนำหรือให้ความความรู้แก่ผู้อื่นที่สนใจต่อไปได้อีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งงานอดิเรกที่มีคุณค่าและมูลค่า ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงสื่อสารและเก็บรักษาความทรงจำร่วมกันไว้ภายใต้ตัวอักษร
ที่มา : บทความ “Calligraphy As A Hobby” จาก www.writerightindia.com
บทความ “History of Calligraphy: From Sacred Texts to Internet Memes” โดย marguerite.camu จาก www.domestika.org
บทความ “Calligraphy history: Where does calligraphy come from?” โดย AuthorJoy Kelley จาก www.howjoyful.com
บทความ “Calligraphy from a hobby to a home business - insight into my personal journey” โดย Nicki Traikos จาก www.lifeidesign.com
บทความ “8 Must-Try Calligraphy and Lettering Apps for iPad” โดย angeljimenez จาก www.domestika.org
บทความ “The Trappist monk whose calligraphy inspired Steve Jobs — and influenced Apple’s designs” โดย Niraj Chokshi จาก www.washingtonpost.com
เรื่อง : ธีรพล บัวกระโทก