RELATED ARTICLES
มองไปข้างหน้า 2050: จากการย้ายถิ่นสู่ความหลากหลายทางสังคม (Heterogeneous Society)
22 min. Read | 03 กรกฎาคม 2563 | 15 k
ไม่ใช่แค่โลกออนไลน์เท่านั้นที่เชื่อมต่อทุกคนเข้าหากัน โลกทางกายภาพก็เป็นหนทางให้ผู้คนนับล้านแสวงหาโอกาสใหม่ ทั้งการหนีจากความรุนแรงของสงคราม การกดขี่ อาชญากรรม และความระส่ำระสายทางการเมือง และมีอีกมากที่ถูกบีบคั้นจากความยากจน ไปจนถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ผิดเพี้ยน ส่งผลให้โครงข่ายธุรกิจท้องถิ่นขาดแคลน ผนวกกับความกล้ามากขึ้นที่จะเสี่ยงกับการย้ายถิ่นฐาน ไปจนถึงสื่อสังคมออนไลน์ทลายกำแพงของความพร่ามัวจนเห็นช่องทางใหม่
กระแสการเคลื่อนย้ายถิ่นนับเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อแนวโน้มระดับโลก จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าจำนวนประชากรย้ายถิ่นฐานมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งเป็นจำนวน 191 ล้านคน เป็นจำนวน 232 ล้านคนในปี 2019 เทียบได้ว่าในจำนวนประชากรทุก 1 ต่อ 30 คน ของประชากรโลกจะเป็นผู้ที่ย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยยังคงติดอันดับท้อป 20 ของประเทศปลายทางการย้ายถิ่น เหตุผลสำคัญของย้ายถิ่นฐานมาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม และความไม่มีเสถียรภาพและความขัดแย้งทางการเมือง หลายประเทศมีการกำหนดระเบียบการจัดการกับจำนวนประชากร เพื่อวางแผนการเชื่อมสัมพันธ์ของพลเมืองท้องถิ่นกับผู้ย้ายถิ่น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกา องค์การสหประชาชาติประเมินว่าในปี 2100 ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคน หรือ 1 ใน 7 ของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันกำลังอพยพย้ายถิ่นภายในประเทศของตนเอง หรือข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ
จำนวนผู้อพยพทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2007
ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยด้านเทคโนโลยีคมนาคม และระบบอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศ
ที่มาภาพ ‘World Population Prospects 2017’. United Nations
หลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาในความขัดแย้งด้านการเมือง
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และปัญหาด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ
ที่มาภาพ: IDMC
ผลจากการอพยพย้ายถิ่นฐานระหว่างปี 2010-2020 ทำให้ประชากรบางประเทศอพยพเนื่องจากความต้องการในการหางานทำ เช่น บังกลาเทศ เนปาล ฟิลิปปินส์ บางประเทศอพยพเพราะความรุนแรง ความไม่มั่นคง และความขัดแย้ง เช่น เมียนมา ซีเรีย และเวเนซุเอลา ในขณะที่เบลารุส เอสโตเนีย เยอรมนี ฮังการี อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย เซอร์เบีย และยูเครน จะกลายเป็นประเทศเจ้าภาพที่รับมือจากการย้ายถิ่นฐานและการหลั่งไหลของแรงงานจากผู้อพยพ รายงานจาก World Bank คาดการณ์ว่าในปี 2050 อาจมีผู้คนกว่า 140 ล้านคนในภูมิภาคซับสะฮาราของแอฟริกา เอเชียใต้ และลาตินอเมริกา ถูกผลักดันให้เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเพราะผลกระทบระดับจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในแอฟริกาตะวันออกที่คาดว่าอาจมีผู้ลี้ภัยจากสาเหตุสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติเป็นจำนวน 10 ล้านคน ขณะที่ในเอธิโอเปียเพียงประเทศเดียว กระแสผู้อพยพย้ายถิ่นอาจมีจำนวนสูงถึง 1.5 ล้านคน หรือมากกว่า 15 เท่าของจำนวนผู้อพยพที่เดินทางทั้งหมดที่อพยพไปยังตะวันออกกลางในแต่ละปี
การหลั่งไหลของผู้คนจะขยายตัวในระดับที่มีผลต่อการเติบโตของนโยบายประเทศในปี 2045 อย่างเช่นการมีผลต่อประเด็นด้านแรงงาน และข้อกำหนดการอนุญาติทำงานของคนต่างถิ่นที่มุ่งสู่การหาข้อสรุปเกี่ยวกับทักษะแบบบูรณาการหรือตามเกณฑ์ที่สมเหตุสมผลกับสถานะแรงงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งปัญหาที่มักพบเจอตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา โดยผู้คนจำนวนเกือบล้านคนถูกจับกุมเนื่องจากไม่สามารถจ่ายค่าภาษีบุคคลต่างด้าวในอัตราสูงต่อปีได้ พบว่าสถิติในช่วงปี 2010-2050 จำนวนผู้อพยพที่ย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว จำนวนประมาณ 96 ล้านคน พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการคลอดบุตรในประเทศที่อพยพไปจำนวนราว 33 ล้านคน ในจำนวนนั้นคือผู้อพยพชาวบังกลาเทศ จีน อินเดีย และเม็กซิโก ซึ่งอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียส่งผลให้จำนวนปริมาณประชากรผู้ตัดสินใจอพยพไปยังประเทศเหล่านี้ลดน้อยลง เช่นเดียวกับเหตุผลด้านการเปิดกว้างด้านเชื้อชาติอย่างในฝั่งเอเชีย ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับค่านิยมชาตินิยม ซึ่งมีผลต่อแนวคิดพลเมืองชั้นสองที่เรียกว่าไกจิน (ใช้เรียกชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรืออาศัยในญี่ปุ่น ซึ่งจะถูกเรียกในช่วงระยะเวลาใน 2-3 ปีแรก หากสามารถปรับตัวให้เข้ากับภาษาและวัฒนธรรมที่แข็งแรงของญี่ปุ่นได้ จะกลายเป็นที่ยอมรับด้านการงานและการเข้าสังคม แต่การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรของโลกที่หลอมรวมวัฒนธรรมและความซับซ้อนของเชื้อชาติได้กลายเป็นความท้าทายของญี่ปุ่นที่จะมาทำลายกำแพงค่านิยมประเทศ ในขณะที่เทคโนโลยีการสื่อสารก็เป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมต่อกับประเทศบ้านเกิด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือประเด็นหนึ่งที่ทำความเสี่ยงที่จะถูกแทรกแซงจากรัฐบาลของประเทศบ้านเกิดและประเทศเจ้าภาพ
ในระยะหลังประเทศต่างๆ ในโลกต่างหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการบริหารจัดการการย้ายถิ่นระหว่างประเทศ ผลการสำรวจล่าสุดขององค์การสหประชาชาติ พบว่าจากจำนวน 148 ประเทศ มีสัดส่วน 68% ที่ผลักดันนโยบายด้านนี้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในสาขาที่ขาดแคลน รองลงมา 46% คือข้อกำหนดเพื่อคุ้มครองโอกาสในการทำงานของคนในท้องถิ่น และ 28% เพื่อเตรียมพร้อมกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยและการลดลงของประชากร โดยผู้ย้ายถิ่นส่วนใหญ่มักย้ายจากประเทศยากจน และมองหาประเทศที่มีการจ้างงานรายได้สูงขึ้นประมาณ 15 เท่า เทียบกับรายได้เฉลี่ยในประเทศต้นทาง นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสในการเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นถึงสองเท่าและมีรายได้จากจากการทำงานส่งกลับไปยังครอบครัวต้นทางของผู้ย้ายถิ่นได้
การหลั่งไหลของจำนวนประชากรในยุคโลกาภิวัฒน์ ส่งผลให้ต่อการปรับตัวของภาครัฐที่จะรับมือ
โดยเริ่มจากการกำหนดข้อกฎหมาย นโยบาย และสวัสดิการ ในฐานะพลเมืองที่เท่าเทียมกัน
ที่มาภาพ ‘International Migration Policies’. UN (2017)
ประเทศพัฒนาแล้วในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพหรือประเทศปลายทางแห่งการย้ายถิ่น ต่างมีประสบการณ์การบริหารจัดการการย้ายถิ่นโดยวางนโยบายแบบบูรณาการทางสังคมของแรงงานข้ามชาติ (Integration of Migrants) ที่หลากหลาย ขณะที่ในประเทศกลุ่มอาเซียนยังคงมีข้อจำกัดการจัดการแรงงานย้ายถิ่นอยู่มากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณี กระบวนการจ้างแรงงานต่างชาติที่ใช้เวลานาน และการจำกัดสิทธิและสวัสดิการของแรงงานข้ามชาติ และยังไม่มีนโยบายด้านการให้ความรู้ด้านภาษาและด้านการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ อย่างในประเทศแถบยุโรปแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ในกลุ่มเครือข่ายประเทศ MERIDIUM จะสามารถเข้าร่วมหลักสูตรการทดสอบภาษาเยอรมันสำหรับผู้ที่ย้ายถิ่นฐานของเยอรมนี หรือการรับรองคุณวุฒิการศึกษาและวิชาชีพของเครือข่าย ENIC-NARIC ซึ่งเป็นองค์กรปฏิรูปการศึกษาของเครือจักรภพ เพื่อส่งเสริมการเรียนของนักเรียน/นักศึกษา และแรงงานในระหว่างประเทศสมาชิก นอกจากประเด็นด้านสิทธิและสวัสดิการแล้ว การให้บริการหรือให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ย้ายถิ่น ถือเป็นเรื่องสำคัญในระดับต้นเช่นกัน อย่างการสร้างเครือข่าย Digital Humanitarianism Nexus ในฟินแลนด์ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ผ่านการให้บริการบทแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่น เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ย้ายถิ่น รวมถึงรับแจ้งเรื่องร้องทุกข์ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น
ขณะที่หลายประเทศต้องรับมือกับจำนวนคนย้ายถิ่นที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ แต่ประเทศในละตินอเมริกาและแอฟริกาเหนือกลับกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและการศึกษา ในแอฟริกาเหนือซึ่งมีประชากรเพียง 6% ของจำนวนประชากรโลก แต่รัฐบาลกลับต้องเผชิญกับอัตราการเกิดที่เติบโตช้าซึ่งเฉลี่ยเพียง 1.7% สร้างแรงกดดันเรื่องงานที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้คน จึงเร่งปรับมาตรฐานการครองชีพ การศึกษา และโอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น ในละตินอเมริกาที่มีกำลังการผลิตส่วนทางกับอัตราการจ้างงาน ดึงดูดผู้อพยพถิ่นฐานจากภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และเอเชีย เข้ามาทำงานเกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากผู้ย้ายถิ่นในละตินอเมริกาขึ้นจากหลายเชื้อชาติ โดยประชากรที่ที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือผู้เดินทางมาจากประเทศต้นทางในยุโรป ทำให้ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องจัดการกับอัตราจัดจ้างแรงงานต่างชาติในด้านต่างๆ ให้เหมาะสมกับอาชีพและทักษะพิเศษ เพื่อนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และเปิดรับการลงทุนต่างประเทศ สถานการณ์ดังกล่าวคาดว่ามีแนวโน้มสูงยิ่งขึ้นภายในปี 2045 นอกจากการตั้งรับกับพลเมืองต่างถิ่น รายงานจาก World Bank ระบุว่าประเทศเจ้าภาพผู้จ้างงานจำเป็นต้องสร้างเสถียรภาพภายในประเทศให้มั่นคง เพราะอาจส่งผล กระทบด้านความเสี่ยงของประชากรในชาติ อย่างเช่นประเด็นเรื่องทรัพยากรและภัยธรรมชาติและความตึงเครียดด้านการเมือง อย่างในโปรตุเกสและสเปน ที่ตรวจพบว่าจีดีพีลดลงอันเนื่องมาจากการไม่รู้สึกปลอดภัยในชีวิต เกิดความเสี่ยงด้านการอัตราจ้างงานของคนพื้นถิ่น และไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองจนกระทบต่อความมั่นคงในการลงทุนด้านเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่เท่าเทียม การเข้าถึงโอกาสอันจำกัด รวมถึงปัญหาด้านการศึกษา เหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการไปให้ถึงความเป็นพลเมืองโลก ในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาอย่างอินโดนีเซียจะมีภาวะของการแบ่งแยกกันค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นในทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือประเด็นถกเถียงในสังคมที่มีหลายประเด็นของท้องถิ่นถูกปัดตกลงไป และปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการแบ่งแยกคือความไม่เท่าเทียม ซึ่งต่อไปนี้รัฐบาลจะยังคงสวมบทเป็นตัวหลักในการกำหนดอนาคตของชาติ แต่อย่างน้อยที่สุดเราสามารถให้ความรู้ผู้คนในการที่จะให้พวกเขาเปิดใจกว้างขึ้น รวมถึงการสนับสนุนทักษะของคนในท้องถิ่น อาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าหลายปีในการสร้างรากฐานสำคัญเพื่อจัดเตรียมพลเมืองในชาติเองให้พร้อมในการที่จะสามารถเป็นพลเมืองโลกได้
ความหลากหลายของผู้คนในแต่ละพื้นที่กลายเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปว่า โลกไม่ได้ถูกจำกัดไว้ที่เพศ เชื้อชาติ หรือวัฒนธรรมใดหนึ่งเดียวอีกต่อไป ดังนั้นการเปิดกว้างอย่างเข้าใจ เคารพ และยอมรับด้านความแตกต่างหลากหลายของผู้คน ควรผนวกรวมทั้งในการวางนโยบาย การปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาค ไปจนถึงการระบุตัวตนว่าบุคคลนั้นไม่ใช่เพียงสมาชิกของประเทศ รัฐ หรือเผ่าพันธุ์ใด แต่เป็นที่ยอมรับในฐานะสมาชิกของมวลมนุษย์ และเป็นพลเมืองโลก (Global Citizen) การเป็นพลเมืองโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนชาติใด อาศัยอยู่ที่ไหน แต่คือการสร้างเครือข่ายและความเชื่อมโยง สร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ปัญหาสำคัญคือเมื่อทุกคนไม่ได้เกิดมาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งถือเป็นความท้าทายและเป็นอุปสรรคสำคัญในการจัดเตรียมผู้คนให้มีประสิทธิภาพ และมีโอกาสในชีวิตในฐานพลเมืองโลกที่เท่าเทียมกัน
ที่มา : บทความ “International Migration Policies”. UN (2017) จาก un.org
บทความ “World Migration Report 2018, International Organization for Migration (IOM), The UN Migration Agency” จาก iom.int